คนแต่ละคนคงมอง เซ็กซ์ ไม่เหมือนกัน... และหลายคนก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจหรือนับถืออะไรกับขั้นตอนของการมีเซ็กซ์นัก เพราะเห็นว่ามันก็แค่การแสดงออก ปลดปล่อย ตอบสนองความ ต้องการตามสัญชาตญาณพื้นฐาน แต่กับอีกหลายๆ คนเซ็กซ์ คือพื้นฐาน สำคัญของการมีชีวิต คือส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ คือการสารภาพบาป และในคนหลายกลุ่มเซ็กซ์หรือการร่วมรักถือเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เสียด้วยซ้ำ หนึ่งในกลุ่มคนซึ่งมีมุมมองที่น่าสนใจต่อเซ็กซ์ก็คือ ชาวฮินดูผู้นับถือลัทธิเพศสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อใน ตันตระทางเพศ (Tantric Sex) ศาสตร์เก่าแก่ที่พวกเขาใช้ปฏิบัติและฝึกฝนมานานนับพันปี ด้วยความเชื่อว่านอกจากการ ร่วมรักจะให้ความสุขสมแล้ว พลังทางเพศที่เกิดขึ้นยังเสริมสร้างให้เกิดความแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิต อันนำมาซึ่งความสุขในชีวิต ดังนั้น ยิ่งร่วมรักกันบ่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้มีสุขภาพดีขึ้น ...น่าสนใจ คุณรู้สึกเหมือน ดิฉันไหม...
แรกเริ่มเดิมที ตันตระ เป็นการสอนกันปากต่อปาก ไม่ได้มีบันทึกไว้เป็น ตำรา ต่อมาจึงมีตำราภาษาสันสกฤตเขียนในรูปของการโต้ตอบระหว่างพระศิวะ(Shiva) และพระเชษฐ์(Shakti) โดยให้พระศิวะแทนพลังทางเพศของชาย และพระเชษฐ์คือพลังทางเพศของหญิงหลักการของตันตระคือ การปฏิบัติกิจกรรมทางเพศเพื่อความรู้แจ้ง จากการ ใช้สมาธิ พลังจิต และการควบคุมทางเพศ ผู้ฝึกตันตระจะพบกับความสุขทางเพศอย่างไม่เคยพบมาก่อน และสามารถมีความสุขทางเพศได้บ่อยครั้ง และยาวนานยิ่งขึ้น...จะเห็นได้ว่าหลักการของตันตระเน้นที่การปฏิบัติ ก่อนที่ชายหญิงจะมาปฏิบัติร่วมกัน จึงต้องแยกกันไปฝึก ก่อนที่จะมาฝึกร่วมกันอีก 7 ราตรี ดังนี้...
พิธีกรรมของสตรี
การฝึกเริ่มจากการทำความรู้จักร่างกายของตัวเอง ตั้งแต่อวัยวะภายนอก ซอกหลืบต่างๆ เพื่อที่จะได้ทราบว่าจุดกระสันของตัวเองอยู่ตรงไหน ไปสู่การบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอดด้วยการขมิบ ไปสู่การฝึกสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองอย่างมีหลักการ ไปสู่การฝึกฝนการหยุดก่อนถึงจุดสุดยอด อันจะนำไปสู่ความสามารถในการควบคุมการถึงจุดสุดยอดได้ ก่อนจะถึงการฝึกส่งพลังเพศให้กับอีกฝ่าย ไม่ว่าจะกับผู้ชายหรือกับผู้หญิงด้วยกัน
พิธีกรรมของบุรุษ
หลักการเดียวกับการฝึกของผู้หญิง คือเริ่มจากการทำความรู้จักกับร่างกาย ตัวเอง ฝึกการสร้างความกำหนัดโดยจินตนาการ การฝึกเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและขมิบรูทวาร การสงบจิต การดูแลองคชาต การควบคุมพลังกำหนัด การหยุด และการควบคุมการหลั่ง ก่อนจะไปจบที่การส่งพลังเพศ ให้กับคู่นอน ไม่ว่าจะกับต่างเพศหรือกับเพศเดียวกัน
แรกเริ่มเดิมที ตันตระ เป็นการสอนกันปากต่อปาก ไม่ได้มีบันทึกไว้เป็น ตำรา ต่อมาจึงมีตำราภาษาสันสกฤตเขียนในรูปของการโต้ตอบระหว่างพระศิวะ(Shiva) และพระเชษฐ์(Shakti) โดยให้พระศิวะแทนพลังทางเพศของชาย และพระเชษฐ์คือพลังทางเพศของหญิงหลักการของตันตระคือ การปฏิบัติกิจกรรมทางเพศเพื่อความรู้แจ้ง จากการ ใช้สมาธิ พลังจิต และการควบคุมทางเพศ ผู้ฝึกตันตระจะพบกับความสุขทางเพศอย่างไม่เคยพบมาก่อน และสามารถมีความสุขทางเพศได้บ่อยครั้ง และยาวนานยิ่งขึ้น...จะเห็นได้ว่าหลักการของตันตระเน้นที่การปฏิบัติ ก่อนที่ชายหญิงจะมาปฏิบัติร่วมกัน จึงต้องแยกกันไปฝึก ก่อนที่จะมาฝึกร่วมกันอีก 7 ราตรี ดังนี้...
พิธีกรรมของสตรี
การฝึกเริ่มจากการทำความรู้จักร่างกายของตัวเอง ตั้งแต่อวัยวะภายนอก ซอกหลืบต่างๆ เพื่อที่จะได้ทราบว่าจุดกระสันของตัวเองอยู่ตรงไหน ไปสู่การบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอดด้วยการขมิบ ไปสู่การฝึกสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองอย่างมีหลักการ ไปสู่การฝึกฝนการหยุดก่อนถึงจุดสุดยอด อันจะนำไปสู่ความสามารถในการควบคุมการถึงจุดสุดยอดได้ ก่อนจะถึงการฝึกส่งพลังเพศให้กับอีกฝ่าย ไม่ว่าจะกับผู้ชายหรือกับผู้หญิงด้วยกัน
พิธีกรรมของบุรุษ
หลักการเดียวกับการฝึกของผู้หญิง คือเริ่มจากการทำความรู้จักกับร่างกาย ตัวเอง ฝึกการสร้างความกำหนัดโดยจินตนาการ การฝึกเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและขมิบรูทวาร การสงบจิต การดูแลองคชาต การควบคุมพลังกำหนัด การหยุด และการควบคุมการหลั่ง ก่อนจะไปจบที่การส่งพลังเพศ ให้กับคู่นอน ไม่ว่าจะกับต่างเพศหรือกับเพศเดียวกัน
7 ราตรีของการฝึกคู่
ตันตระเชื่อว่าเรื่องเพศหรือการร่วมรักเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ การฝึกคู่ จึงเริ่มต้นจากการทำความรู้จักร่างกายของกันและกัน สร้างความคุ้นเคยต่อกัน และสร้างความปรารถนาต่อกันในคืนแรก แต่จะยังไม่มีการสำเร็จความใคร่และการร่วมรักกันจริงๆ จนกระทั่งถึงคืนที่ 2 และคืนต่อๆ มา เป็นการช่วยกันและกันควบคุมการถึงจุดสุดยอด พร้อมๆ กับควบคุมความ รู้สึกของตัวเองที่จะไม่โผเข้าหากันแล้วร่วมรักกันตามที่ปรารถนา จนกระทั่ง ในคืนสุดท้าย จึงจะมีการสอดใส่ แล้วผลัดกันขมิบกล้ามเนื้อให้อีกฝ่ายได้รู้สึก จากนั้นฝึกการควบคุมการหลั่ง
เมื่อสิ้นสุดโปรแกรมการฝึกแล้ว คู่รักทั้งสองสามารถร่วมรักกันได้ตามปกติ แต่ก็จะพบว่าตัวเองมีความสามารถในการร่วมรักได้ยาวนานขึ้น และมีความสุขสมได้โดยไม่ต้องถึงจุดสุดยอด จึงเท่ากับว่าทั้งคู่สามารถร่วมรักกัน ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
คงต้องออกตัวไว้ก่อนว่าดิฉันเองก็ยังไม่เคยลงมือฝึกตันตระอย่างจริงจัง แต่จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าตัวเองประทับใจและเห็นด้วยในประเด็นต่อไปนี้...
- ความสุขสมบนเตียงนำพาไปสู่ความสุขและสุขภาพในชีวิตจริง หรือใครอยากเถียง
- ตันตระเน้นการปฏิบัติ ดิฉันเห็นด้วย 100% ไม่มีชายใดเป็นคาสซาโนว่ามาตั้งแต่เกิด ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองมีกรรมเพราะไม่เคยไปได้ถึงจุดสุดยอดกับเขาเสียทีก็เหมือนกัน ถามตัวเองสิคะว่าคุณทำความรู้จักตัวเองและคู่ของคุณ รวมทั้งศึกษาและฝึกฝนศิลปะในการร่วมรักมากพอแล้วหรือยัง
- การร่วมรักที่สุขสมนั้นจำเป็นต้องมีความเสียสละ ให้เกียรติ และความยินยอมพร้อมใจจากคู่รักของคุณด้วย ถ้าต่างฝ่ายต่างก็ตะกรุมตะกราม เอาแต่ได้ เซ็กซ์ไม่มีทางสุขสมได้หรอกค่ะ
- หากเปิดใจให้กว้าง ไม่คิดว่าตันตระหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องบนเตียง คุณเองก็จะเห็นว่าที่จริงแล้วศาสตร์นี้คือจิตวิทยาในการร่วมรักดีๆ นี่เอง
- เซ็กซ์ที่สุขสมนั้นไม่จำเป็นต้องมีกับคนรักที่หมายถึงเพศตรงข้ามแต่เพียง อย่างเดียว แม้แต่คู่รักร่วมเพศก็สามารถนำหลักการร่วมรักแบบตันตระไปฝึกฝนเพื่อพัฒนาตัวเองต่อได้ ดิฉันรู้สึกยินดีที่ตันตระใจกว้างกับคนทุกรูปแบบ
หากคุณเองก็สนใจอยากจะศึกษาศาสตร์แห่งการพัฒนาพลังรักนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ลองค้นหาข้อมูลจากหนังสือหรืออินเตอร์เน็ตดู หรือถ้าอยากดูวิดีโอ สาธิตการฝึกฝนก็หาได้ไม่ยากจากอินเตอร์เน็ต สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมว่าทักษะเกิดจากการฝึกฝน ฝึกมากๆ เข้าใจกันมากๆ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเองค่ะ
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับตันตระตันตระ
คือการร่วมรักที่กาย ใจ และอารมณ์เป็นอิสระ จนสามารถควบคุม การหลั่งได้อย่างสิ้นเชิง เกิดความสุขอย่างสูงสุด และเกิดพลังกลับคืนสู่ร่างกาย ทำให้มีสุขภาพดีและอายุยืน ตันตระไม่มีกฏเกณฑ์ข้อบังคับใดๆ ดังเช่นกิจกรรมทางศาสนา ตันตระมุ่งให้สนใจปฏิบัติฝึกฝนเพื่อความสุขทางเพศอย่างเดียว ซึ่งตันตระเชื่อว่านั่นเป็นหนทางสู่ความรู้แจ้ง ตันตระไม่ใช่...
- โยคะ แม้จะมีแนวคิดคล้ายคลึงกัน(แต่รูปแบบและวิธีการปฏิบัติต่างกัน) และแม้จะมีตำราฝรั่งบางเล่มใช้ชื่อว่า ตันตระโยคะ(Tantra Yoga) ก็ตาม
- การทำสมาธิ ตันตระคือการฝึกฝนการควบคุมจิตใจในลักษณะของการเพ่งกสิณมากกว่า ในขณะที่การทำสมาธิคือการฝึกจิตให้สงบนิ่ง จึงต่างกับ การร่วมรักแบบตันตระอันเป็นการแสวงหาความสุขทางเพศ
- ศาสนา แม้จะมีนิกายหนึ่งในพุทธศาสนาลัทธิวัชญาณในธิเบตเรียกว่า นิกายตันตระ(Tantra Buddhism) ซึ่งเชื่อว่าความหลุดพ้นไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรมใดๆ
ข้อมูลจาก หนังสือ Tantra, The Key to Sexual Power and Pleasure โดย Ashley Thirleby แปลโดย พีระ บุญจริง